Nikko Hotel
Location: Nikko Hotel
Photo:
Location: Nikko Hotel
Photo:
Location: 279 Tam bon Nongtalay Amphoe Muang กระบี่ 81180
Photo:
สถานที่: 51 ถนน ราชดำริ แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
สวัสดีค่ะ วันนี้แอดมินจะมาแนะนำทริคเล็กๆน้อยๆในการเลือกโคมไฟตกแต่งบ้านชนิดแบบติดห้อยเพดานกันนะคะ ลูกเพจสามารถนำไปปรับใช้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละท่านได้เลยค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 ทราบถึงประเภทของโคมไฟห้อยเพดาน (Pendant Light)
เริ่มต้นด้วยประเภทของไฟห้อยเพดานต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจในการเลือกใช้โคมไฟให้เข้ากับแต่ละพื้นที่ได้ง่ายขึ้น และเพื่อได้ตำแหน่งที่ดีที่สุด คุณจึงจำเป็นที่ต้องรู้ว่าโคมไฟห้อนเพดานแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร
1.1 Multi-Arm Pendant Lights คล้ายโคมไฟระย้า โคมไฟห้อยเพดานแบบหลายแขนเหมาะสำหรับติดตั้งบนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือโต๊ะกลม
1.2 Linear Pendant Lights โคมไฟแบบเส้นตรงให้การใช้งานสูง รูปทรงเพรียวบางทำให้เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นอย่างมาก
1.3 Shades Pendant Lights จะควบคุมทิศทางการแพร่กระจายของสีและแสง
ขั้นตอนที่ 2 พิจารณาความสูงของเพดานและโคม
ข้อควรพิจารณาความสูงของเพดานและโคมไฟ ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, หรือห้องโถงเปิดโล่งแนะนำให้ติดตั้งที่ระยะจากฐานโคมไฟถึงพื้นอยู่ที่ 2.1 เมตร ห้องอาหารหรือบาร์ควรสูงจากพื้นประมาณ 70-80 เซนติเมตร ห้องน้ำ – ให้ติดตั้งโคมไฟแขวนเพดานในระดับความสูง 2.4 เมตรเหนืออ่างอาบน้ำขึ้นไป นับจากบริเวณขอบอ่างและฐานของโคมไฟ
ขั้นตอนที่ 3 พิจารณารูปร่างและขนาดของโต๊ะ
Multi-light pendant lights หรือ linear lights เหมาะกับโต๊ะรูปไข่หรือสี่เหลี่ยมยาว สำหรับโต๊ะกลมหรือสี่เหลี่ยมควรมีโคมระย้าหรือแบบโคมไฟห้อยแบบเดี่ยววางไว้ตรงกลางเพื่อให้ดูสวยงาม
ขั้นตอนที่ 4 เลือกขนาดที่เหมาะสม
การเลือกโคมไฟควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับพื้นที่และโต๊ะด้วย ไม่ควรมีขนาดใหญ่หรือเล็กมากเกินไป ต้องคำนึงถึงสัดส่วนของโต๊ะหรือพื้นที่ ที่ต้องการใช้งานและขนาดของโคมไฟ
ขั้นตอนที่ 5 เลือกโคมไฟห้อยเพดานแบบที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย
หากว่าปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำความสะอาดจะทำให้โคมไฟของคุณดูหม่นหมองไม่สวยงาม ดังนั้นแนะนำว่าเราควรเลือกโคมไฟแบบที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย สามารถทำได้เอง เพื่อความสวยงามอยู่ตลอด
มาทำให้บ้านของคุณดูน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งโคมไฟห้อยเพดานให้เข้ากับตำแหน่งหรือที่ตั้ง และขนาดโคมไฟที่เหมาะสมสำหรับบ้านของคุณ จะช่วยสร้างบรรยากาศให้สถานที่ชวนดูสวยงาม เพลิดเพลินตา
————————
ข้อมูลความรู้ Cr. https://www.architecturelab.net
——————
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
Inbox FB : m.me/lumencraftTH
——————-
Line : @lumencraft (มี@ค่ะ)
——————-
Tel. : 02-719-7738-9
เคยไหมหลอดไฟมีหลากหลายโทนสีเหลือเกิน จะเลือกใช้ทีก็งงไปหมดว่าจะเลือกโทนไหน สีไหนดี วันนี้เรามาดูเบื้องต้นกันดีกว่าค่ะว่าการเลือกโทนสีไหนที่จะตอบโจทย์และเหมาะสมการใช้งานของคุณมากที่สุด เพราะการติดตั้งตามอุณหภูมิสีแตกต่างกันไป จะทำให้บรรยากาศในห้องหรือสถานที่ต่างๆมีบรรยากาศที่แตกต่างกันไป
สีแบบวอร์มไวท์ ( Warm White) โทนสีตั้งแต่ 2700k – 3000k (K=Kelvin หน่วยอุณหภูมิของแสง) เหมาะสำหรับการตกแต่งสร้างบรรยากาศมากกว่าการให้ความสว่างเพื่อความชัดเจน แสงแบบ ww จะให้ความรู้สึก อบอุ่น นุ่มนวล โรแมนติกและดูผ่อนคลาย หากใช้ภายในบ้านจะนิยมใช้ภายในห้องนอน ห้องพระ ห้องนั่งเล่น แม้แต่โรงแรมหรือสปาส่วนใหญ่ก็จะใช้โทนสีแบบวอร์มไวท์เพื่อที่จะเน้นบรรยากาศให้ดูอบอุ่น ผ่อนคลายดูเป็นส่วนตัว เพิ่มความมีมิติให้กับสถานที่นั้นๆ
สีแบบคูล ไวท์ ( Cool White) โทนสีตั้งแต่ 3500k – 4100k (K=Kelvin หน่วยอุณหภูมิของแสง) เป็นโทนสีอยู่กึ่งกลางระหว่างวอร์มไวท์และเดย์ไลท์ ไม่ส้มหรือฟ้าไป เป็นแสงที่ช่วยให้มองเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่าสีวอร์มไวท์ ส่วนใหญ่แล้วมักถูกใช้ในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางมุมที่ต้องการเน้นให้สีสันของอาหารให้ดูน่ากินก็จะใช้แสงโทนนี้ได้ด้วยเช่นกัน เพราะมีสีส้มอมกำลังดี ช่วยให้สีสันของสินค้าดูสดใสกว่าความเป็นจริง จึงช่วยส่งเสริมกิจกรรมในการจับจ่ายและเลือกซื้อสินค้าทำให้การตัดสินใจของลูกค้าง่ายมากขึ้น
สีแบบเดย์ไลท์ ( Day Light) โทนสีตั้งแต่ 5000k – 6500k (K=Kelvin หน่วยอุณหภูมิของแสง) เป็นโทนสีที่สว่างที่สุด ทำให้มองเห็นชัดเจน สามารถใช้ได้กับทุกที่ที่ต้องการความสว่างสดใส ต้องการมองเห็นชัดเจน โดยโทนสีแบบเดย์ไลท์จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า สดชื่นอีกด้วย
นี่เป็นเพียงการเลือกสีแบบพื้นฐานเบื้องต้น สามารถนำไปปรับใช้ได้อีกหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งานของเราว่าเราต้องการแบบไหน สามารถนำมา Mix and match! ให้สวยงามและเหมาะสมให้ตรงกับความต้องการได้
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลความรู้จาก
Cr.